ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ตอนที่ 4

ด้วยความไม่ติดอยู่ในยศถาบรรดาศักดิ์ ท่านจึงได้ปฏิเสธตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางนมโค กล่าวคือ เมื่อหลวงปู่คล้ายเจ้าอาวาสวัดบางนมโครูปก่อนมรณภาพลง ทายกทายิกาพระภิกษุสงฆ์ได้พร้อมใจกันอาราธนาท่านขึ้นครองวัดบางนมโคแทน ท่านก็ไม่รับท่านให้เหตุผลว่า ท่านหน่ายเสียแล้วจากกิเลสอันจะมาเป็นเครื่องขวางกั้นทางพระนิพพาน กลับแนะนำท่านสมภารเย็น ซึ่งเวลานั้นเป็นพระลูกวัดธรรมดาขึ้นรับตำแหน่งแทน ส่วนท่านขอเป็นพระลูกวัดต่อไปอย่างเดิม

ด้วยความที่ท่านได้เสริมสร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่นบางนมโคและสถานที่อื่นๆ มากมาย โดยไม่ได้หวังจะได้รับยศฐาบรรดาศักดิ์ตอบแทนแม้ว่าจะมีเชื่อพระวงศ์ชั้นสูง จะมาเป็นลูกศิษย์ของท่านอยู่มากมายก็ตาม

ในที่สุดความดีของท่าน ทางฝ่ายบ้านเมืองจึงตอบแทนความเป็นผู้เสียสละของท่านด้วยการมอบถวายสมณศักดิ์ให้แก่ท่านเป็นที่ “พระครูวิหารกิจจานุการ” ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2474 โดยมี

  1. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ
  2. พระวรวงศ์เธอ กรมพระนครสวรรค์ศักดิ์พินิจ
  3. หม่อมเจ้าโฆษิต
  4. หม่อมเจ้านภากาศ
  5. ท้าววรจันทร์

ข้าราชการและบรรดาสานุศิษย์ของท่านได้นำพัดยศพระราชทานมาให้ท่านถึงที่วัด โดยนำไปมอบให้ท่านในพระอุโบสถ ตามพระบรมราชโองการท่ามกลางคณะสงฆ์และชาวบ้านต่างแซ่ซ้องสาธุการกันถ้วนหน้า

แต่หลวงพ่อปานเองท่านก็วางเฉยด้วยอุเบกขา และแม้จะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นที่พระครูวิหารกิจจานุการแล้ว ท่านเองก็ยังคงเป็นหลวงพ่อปานรูปเดิม ปฏิบัติกิจวัตรอย่างที่แล้วๆ มา แต่ผู้ที่ยินดีที่สุดกลับเป็นบรรดาศิษยานุศิษย์

หลวงพ่อปานรักษาโรค

ในเรื่องการรักษาโรคช่วยชีวิตคนของหลวงพ่อปาน เป็นที่เลื่องลือมากในสมัยนั้น ผู้คนต่างแห่กันมาที่วัดจนแน่นขนัด จนไม่มีที่รับรองแขกเพียงพอ

วิชาการรักษาโรคและวิชาการบางอย่างที่หลวงพ่อปานสำเร็จและนำมาช่วยเหลือผู้ได้รับทุกข์ เท่าที่เกิดปาฏิหาริย์และได้รับการบันทึกไว้มีมากมาย ตัวอย่างเช่น รักษาโรคด้วยน้ำมนต์ โรคที่ท่านรักษาด้วยน้ำมนต์ เรียกว่าโรคภายใน เช่น บางคนถูกของ ถูกคุณ ถูกเขากระทำมา โรคที่เกิดจากกรรมเวร ถูกผีสิง เป็นต้น บางครั้งก็ต้องแป้งเสกควบคู่ด้วย

ในตอนเพล ขณะที่ท่านพักผ่อนท่านจะทำการเสกน้ำมนต์เตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อเวลาอาบจะได้สะดวก และท่านได้ใช้เวลาในการอาบนั้นบริกรรมเสกเป่าเฉพาะรายอีกด้วย

น้ำมนต์ของท่านนี้ศักดิ์สิทธิ์นักและกรรมวิธีในการรักษาโรคด้วยน้ำมนต์ แบ่งออกเป็น 3 ช่วงระยะ คือ

ช่วงแรก ท่านจะเรียกคนไข้มาหาแล้วถามชื่อเสียงเรียงนาม ถามอาการแล้วยื่นหมากให้คำหนึ่ง คาถาที่ใช้เสกหมากนี้ท่านบอกผู้ใกล้ชิดว่า ใช้ดังนี้จะขลังหรือไม่อยู่ที่จิตของผู้ทำ

“ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วว่า โสทาย นะโม พุทธายะ ลัมอิทังโล นันโทเทติ ยาทาโลเทตีติ”

เมื่อคนไข้ได้รับหมากเสกแล้วให้เคี้ยวให้แหลก บ้วนน้ำหมากทิ้งเสียสามที กลืนลงคอไป ให้คนไข้สังเกตดูว่าหมากนั้นมีรสอะไร แล้วบอกหลวงพ่อปาน จากนั้นก็จะทำการรักษาตามวิธีของท่าน

หลวงพ่อปานท่านบอกว่า รสหมากนั้นบอกโรคได้ดังนี้

รสเปรี้ยว แสดงว่าต้องเสนียดที่อยู่อาศัย เข้ามาเกี่ยวข้อง คือมีของต้องห้ามอยู่กับบ้าน เช่น มีไม้ไผ่ผูกส่วนต้นส่วนปลายอยู่ในบ้าน มีตออยู่ใต้ถุนบ้าน ที่เรียกว่า ปลูกเรือนคร่อมตอ หรืออย่างอื่น ต้องจัดการเรื่องนี้เสียก่อนแล้วจึงรักษาหาย ส่วนมากแล้วหลวงพ่อปานจะใช้ญาณดูแล้วบอกว่ามีอย่างไหนบ้าง ให้แก้เสียก่อน

รสหวาน แสดงว่าต้องแรงสินบนอย่างใดอย่างหนึ่ง คนไข้หรือคนในบ้านบนไว้ ต้องนึกให้ออกว่า ตนเคยบนบานศาลกล่าวอะไรบ้าง ถ้านึกได้ ผู้ป่วยไข้จะต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนไปจุดบูชากลางแจ้ง ขอทำการแก้บนให้ถูกต้องในภายหน้าต่อไป

เมื่อกลับมาหาท่าน ท่านจะรดน้ำมนต์ให้ รดแล้วจะต้องให้กินหมากเสกอีกว่า หมดสิ้นหรือยัง ถ้าไม่มีรสหวานก็หมดแล้ว ถ้ายังหวานอยู่ก็ต้องนึกดู ก็ต้องแก้บนอีก แล้วจึงรักษาหาย

รสขม แสดงว่าต้องคุณคน คือถูกของที่มีผู้ใช้เดียรัจฉานวิชานำมาไว้ในตัว เช่น ในท้องมีตะปูบ้าง มีเข็มเย็บผ้าบ้าง ไม้กลัดผูกกากบาทบ้าง ด้ายตราสังข์มัดศพ เปลวหมูบ้าง หนังสัตว์บ้าง

ของเหล่านี้จะทำให้คนไข้เจ็บปวดเสียดแทงในร่างกายเป็นที่ทรมานนัก คนไข้ประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นหญิง ที่เป็นชายมีน้อย โดยมากพวกนี้มักจะรับจ้างทำร้ายผู้อื่น หรือไม่ก็ปล่อยไปตามยถากรรม ถูกใครก็เจ็บไป ทำร้ายใครไม่ได้ก็กลับมาเข้าตัวเอง เคยมีแขกผู้หนึ่งถูกของของตัวเอง หลวงพ่อปานท่านแก้ให้แล้วขอสัญญา ให้เลิกอาชีพนี้เสีย

คนไข้ประเภทนี้ หลวงพ่อท่านจะเสกน้ำมนต์พิเศษใส่กระป๋องน้ำ เพื่อให้คนที่แช่เท้าทั้งสองข้างไว้ เพื่อเวลารดน้ำมนต์ ของที่อยู่ในตัวจะได้หลุดออกมาทางเท้าอยู่ในกระป๋องน้ำมนต์

มีอาการยันหมาก มึนงงศีรษะเวียนศีรษะ อย่างนี้หลวงพ่อท่านว่าถูกคุณผี คือมีอาการใช้ผีมาเข้าสิง คนไข้นั้นจะสำแดงอาการกิริยาผิดปกติ ถ้าผียังสิงอยู่ จะไม่ยอมกินหมากเสกหลวงพ่อ ต้องใช้อำนาจจิตบังคับให้กิน ถ้าผีแกล้งออกไปชั่วระยะ คนไข้จะยอมกินหมากแล้วมีอาการยันหมาก ผีประเภทนี้ เป็นผีตายโหง ที่มีผู้มีวิชานำวิญญาณมาใช้ทำอันตรายคนทำให้เสียสติเพ้อคลั่ง เสียคน เป็นต้น

คนไข้ประเภทนี้ หลวงพ่อปานท่านจะทำน้ำมนต์พิเศษจากพระดินเผาของท่านเอง ซึ่งท่านมักจะใส่ในกระเป๋าอังสะของท่านอยู่เสมอ เพื่อทำน้ำมนต์ให้คนไข้อาบ และใช้มีดหมอของท่านกดกลางศีรษะ และรดน้ำมนต์คนไข้นั้นเรื่อยไปจนกว่าผีจะออก ถ้าดิ้นรนก็ต้องมีคนมาช่วยจับและรดน้ำมนต์ในระหว่างที่ท่านกดมีดหมอและบริกรรมอยู่

คนไข้ประเภทนี้เมื่อหายแล้วจะจำอะไรไม่ได้เลย และท่านมักจะให้สายสิญจน์มงคล ไว้คล้องคอกันถูกกระทำซ้ำอีกทุกราย

มีอาการร้อนหูร้อนหน้า แสดงว่าร้ายแรงมาก ถึงขนาดที่ถูกน้ำมันผีพราย ประเภทนี้จะอาการป้ำๆ เป๋อๆ ๆ คุ้มดีคุ้มร้าย ชาวบ้านเรียกว่า ลมเพลมพัด ขาดสติ ปวดศีรษะบ่อยๆ

คนไข้ชนิดนี้ท่านจะให้แช่เท้าในกระป๋องด้วย เหมือนกับที่ถูกคุณคน เมื่อเวลารดน้ำมนต์นั้น น้ำมันพรายจะซึมออกมา เป็นฝ้าน้ำมันลอยอยู่ในน้ำให้เห็น

หลวงพ่อบอกว่า คนไข้ประเภทนี้หายยาก เพราะว่าน้ำมันซึมอยู่ในร่างกาย ต้องมารักษาบ่อยๆ เป็นเวลาติดต่อกันนานๆ จนกว่าจะหมดน้ำมันพรายและท่านมักจะสั่งห้ามกินน้ำมันสัตว์ เพราะจะไปเพิ่มน้ำมันให้กับน้ำมันพราย

หมากเสกของท่านนี้ ถ้ากินแล้วร้อนลึกเข้าไปในทรวงอก ท่านว่าเป็นโรคฝีในท้อง วัณโรค ประเภทนี้นอกจากรดน้ำมนต์แล้ว ยังต้องกินยาคุณพระควบไปด้วยอีกทางหนึ่ง เป็นการขับถ่ายพิษร้าย ออกจากร่างกาย

รักษาโรคด้วยยาพระพุทธคุณ

นอกจากน้ำมนต์แล้ว ท่านยังมียาคุณพระพุทธคุณให้กินอีกด้วย ยานี้มีสรรพคุณแก้โรคได้ทุกชนิด แล้วแต่ชนิดของโรค คือยานี้เป็นยาอธิษฐานของหลวงพ่อปาน นอกจากจะรักษาโรคแล้ว ยังเป็นยาที่หลวงพ่อปานให้กินเวลาท่านรดน้ำมนต์แก้ถูกกระทำไปแล้ว ยาของท่าน ท่านจะบอกกับผู้ใกล้ชิดว่า ตำรับยานี้เป็นของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ องค์อุปัชฌาย์ของท่านมอบให้ท่านเป็นทายาทแทนเมื่อหลวงพ่อสุ่นล่วงลับไปแล้ว มี 2 ขนาน (คัดมาจากหนังสืออนุสรณ์ 100 ปี หลวงพ่อปาน)

พระคาถา

(ว่า “นะโม ฯลฯ ” ๓ จบ )

พระคาถาบทนำ ว่าครั้งเดียว

” พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ “

พระคาถาพระปัจเจกะโพธิ์

ว่า ๓ จบ หรือ ๕ จบ หรือ ๗ จบ หรือ ๙ จบ ก็ได้ แต่ต้องสม่ำเสมอ จึงจะเกิดผล

” วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มาณี มามะ พุทธัสสะ สวาโหม “

คาถามหาพิทักษ์

” จิตติ วิตัง นะกรึง คะรัง “

ใช้ภาวนาขณะใส่กุญแจ ปิดหีบ ปิดตู้ ปิดประตูหน้าต่างฯ

คาถา มหาลาภ

” นะมามีมา มะหาลาภา อิติพุทธัสสะ สุวัณณังวา ระชะตังวา ธะนังวา พีซังวา อัตถังวา ปัตถังวาเอหิ เอหิ อาคัจเฉยยะ อิติมีมา นะมามิหัง “

ใช้สวดภาวนาก่อนนอน ๓ จบ และตื่นนอนเช้า ๓ จบ เป็นการเรียกทรัพย์เรียกลาภ

พระคาถา ๓ บทนี้ เป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มาก หากผู้ใดนำไปใช้จะเกิดโชคลาภมั่งมีเงินทองอย่างมหัศจรรย์

ปัจฉิมวาร

หลวงพ่อฤๅษีฯ ได้เล่าเรื่องช่วงปลายชีวิตของหลวงพ่อปานไว้ว่า

ตอนท้ายชีวิตของหลวงพ่อปาน

ต่อมาเมื่อหลวงพ่อปานวัดบางนมโคอายุล่วงเข้า ๖๑ ปี ตอนนี้ท่านป่วยครั้งแรก ความจริงเรื่องของการป่วย ก็ป่วยกันอยู่เป็นปกติ แต่ทว่าอาการป่วยที่จะตายคราวนี้ท่านป่วยมาก เมื่อป่วยมาก คณะศิษยานุศิษย์ในกรุงเทพฯ ก็รับไปรักษาที่บ้านหลวงประธานถ่องวิจัย ที่บ้านหม้อ รักษาอยู่ประมาณ ๑ เดือนท่านก็กลับ เป็นอันว่าหาย

หลังจากการป่วยคราวนี้แล้ว ท่านแจ้งให้แก่บรรดาคณะศิษยานุศิษย์ แล้วก็ท่านพระครูรัตนาภิรมย์เจ้าอาวาสวัดบ้านแพนอีกองค์หนึ่ง ทราบว่า นับตั้งแต่นี้อีกเป็นต้นไปอีก ๓ ปีท่านจะตาย ท่านบอกไว้ว่ายังงั้นนะ ท่านบอกว่าอีก ๓ ปีจะตาย ท่านจะตายวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ เวลาประมาณ ๖ โมงเย็น นี่ท่านประกาศไว้ก่อนนะ ว่าท่านจะตาย

ตอนนั้นฉันก็กำลังเป็นลิงหน้าพลับพลา ท่านสั่งให้ฉันเขียนจดหมายถึงหัวหน้าลูกศิษย์ของท่านแต่ละจังหวัด แต่ละสถานที่ ส่งไปเฉพาะหัวหน้าลูกศิษย์นะ ว่าท่านให้บอกไปว่าท่านจะตาย อีก ๓ ปีท่านจะตาย คณะศิษยานุศิษย์ทุกคนมีความประสงค์ต้องการอะไรจากท่านก็ขอให้พากันมา

ข่าวลือว่าท่านจะตายนี่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วที่สุด ก็ปรากฏว่ามีคณะศิษยานุศิษย์บ้าง แล้วก็ที่ไม่ใช่บ้าง คือว่าเป็นลูกศิษย์ใหม่บ้าง ก็พากันมาหาท่าน ตอนนี้ท่านสงเคราะห์ทุกอย่าง คำว่าสงเคราะห์ทุกอย่างก็หมายความว่า สงเคราะห์ทั้งด้านการรักษาโรค คาถาอาคมที่เป็นประโยชน์ คำว่าคาถาอาคมที่เป็นประโยชน์นะ ที่เป็นโทษท่านไม่ให้กับใครแล้ว นอกจากนั้นท่านก็สอน เวลาคนเขามาหาท่าน ท่านก็พูดเฉพาะศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสำคัญ ให้คนทุกคนรู้ตัวว่าตัวเองจะต้องตาย แล้วก็จงอย่าประมาท ให้สร้างแต่ความดี

ในระหว่างที่หลวงพ่อสั่งให้ฉันเขียนจดหมายไปหาบรรดาศิษยานุศิษย์ คนที่รับฟังหรือรับข่าว บางทีก็รับข่าวไม่ครบ คนที่รับข่าวหลายคนเขาเข้าใจว่าหลวงพ่อปานตายแล้ว ไอ้นี่ซิยุ่ง มันชักจะยุ่งกันใหญ่ ทุกคนโผล่ขึ้นมาหา เห็นหลวงพ่อปานนั่งคุยกับชาวบ้านแขกมาหาท่านแต่ละวันเป็นร้อย ตอนนี้นับร้อยกันละ

๓ ปีก่อนจะตายนี่แขกไม่ใช่มาเป็นสิบ ตั้งแต่เวลาบ่ายโมงถึง ๕ โมงเย็น หลวงพ่อต้องรับแขกหนัก บริเวณที่ท่านรับแขกมีความกว้าง ๒ วา คือ ๔ เมตร แล้วก็ยาว ๑๒ เมตร ที่เต็มตลอดเวลา หมายความว่าคนที่มาทีหลังยังเข้าไม่ได้ก็คอยกันอยู่ข้างนอกก่อน แล้วใครเข้าไปถึงก็ไปคุยกับท่าน

บรรดาคนที่มาที่ยังไม่เข้าไปพบท่าน เห็นท่านกำลังคุยอ้าวอยู่เพราะตอนนี้ท่านไม่ได้เป็นอะไร เขาถามกันว่า ไอ้เจ้าลิงดำมันองค์ไหน บางคนไปถามชนฉันเข้าเลย ถามเขาว่า ทำไมล่ะ

เขาเลยบอกว่า ไอ้เจ้านี่มันบ้า มันเขียนจดหมายไปได้บอกว่าหลวงพ่อตายแล้ว เอาเข้านั่น หลวงพ่อกำลังนั่งคุยอ้าวอยู่ มันบอกว่าหลวงพ่อตาย แปลก ไอ้พระองค์นี้น่ากลัวจะไม่ใช่พระนา ดีไม่ดีถ้าเป็นพระก็พระบ้า หรือไม่ยังงั้นก็มีนิสัยหมาติดมาด้วย ส่งข่าวไม่ตรงตามความเป็นจริง หลวงพ่อยังดีอยู่ยังคุยกับคนอ้าวๆ มันส่งจดหมายส่งข่าวไปได้ว่าหลวงพ่อตาย

เออ ลูกหลานเอ๋ย ฟังแล้วก็จำไว้ด้วยนะ ความจริงหนังสือทุกฉบับฉันเขียนไปน่ะ เขียนตามคำสั่งของหลวงพ่อท่าน หลวงพ่อท่านบอกว่าท่านจะตาย หลังจากนั้น ๓ ปี ท่านจะตาย ลูกศิษย์ทุกคนต้องการอะไรให้มาเอาจากท่าน ท่านจะให้ตามความประสงค์แต่สิ่งที่ไม่เป็นโทษ ถ้าส่วนใดที่เป็นโทษท่านไม่ให้ใคร

ฉันเข้าใจเอาเองนะ เข้าใจว่าหลวงพ่อจะตักเตือนบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ว่า ๑ ท่านจะตายแล้ว ประการที่ ๒ ท่านตั้งใจจะสั่งสอนคณะศิษยานุศิษย์ของท่านว่า ทุกคนจะต้องตาย และให้ทุกคนปฏิบัติอยู่ในความดี แต่ว่าเจ้าคนรับข่าวหรือคนส่งข่าวต่อนี่ซิ มันคงจะส่งข่าวกันไม่ถูกหรือว่าส่งข่าวไม่ครบ หนังสือของฉันส่งข่าวไปชัดเจนว่า หลวงพ่อท่านสั่งไปยังงั้น แล้วท่านให้ฉันเซ็นชื่อของฉัน ท่านไม่เซ็นชื่อของท่านเอง นี่ก็แปลกดีเหมือนกัน เจ้าพวกนั้นมันมา มันเกิดอยากจะเตะฉันขึ้นมา มันหาว่าแช่งหลวงพ่อ

ฮือ ดีเหมือนกันนะ ตามใจเขา ในที่สุด เมื่อเข้าไปพบหลวงพ่อ เขาก็ถามข้อความนี้ หลวงพ่อท่านบอกว่า ฉันเองเป็นคนสั่งเขาให้เขียนว่า ฉันจะตายในอีก ๓ ปีข้างหน้า แล้วเขาอ่านให้ฉันฟัง เขาเขียนตามนั้น แต่ว่าพวกแกละมั้งที่รับข่าวผิด เรื่องนี้ก็เป็นอันว่าพับไป

แล้วเขาทั้งหลายเหล่านั้นก็ถามหลวงพ่อว่า ก็หลวงพ่อยังดีๆ นี่ขอรับ ทำไมหลวงพ่อจึงจะบอกว่าหลวงพ่อจะตาย

หลวงพ่อท่านบอกว่า ฉันรู้ตัวว่าฉันจะตายนะ แต่ความจริงฉันรู้ตัวว่าฉันจะตายมาหลายหนแล้ว คราวป่วยหนักคราวนี้ฉันก็รู้ตัวฉันว่าจะตาย แต่พอดีท่านท้าวมหาราชเขามาต่อชีวิตฉันให้ เขาต่อให้ฉันอยู่อีก ๓ ปี แล้วเขาก็บอกฉันด้วยว่า อีก ๓ ปีข้างหน้า ถ้าพ้นไปแล้วอยูไม่ได้ แต่ความจริงชีวิตของฉันนี่น่ะ เขาต่อให้หลายครั้งแล้ว

คำว่าฉันในที่นี้หมายถึง หลวงพ่อปาน เรื่องนี้ก็เป็นอันว่าพับกันไป

ตอนนี้ท่านก็สอนศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อใครเข้าไปก็ตาม ท่านก็พูดให้ฟังง่ายๆ พูดย่อฟังชัด ให้เข้าใจว่าคนทุกคนจะต้องตาย ถ้าตายแล้วส่วนที่ต้องไปก็มีอบายภูมิ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม ไปนิพพาน แล้วส่วนใหญ่ท่านสอนด้านวิปัสสนาญาณ ใครจะเรียนอะไรกับท่านก็ตาม ท่านสอนแนวนั้นแล้ว ท่านก็โน้มเข้ามาว่า ถึงแม้ว่าเราจะมีคาถาอาคมของดียังไงก็ตาม เราก็ต้องตาย แล้วก่อนที่จะตาย นั้นควรจะเลือกทางเดินเอา อย่างน้อยที่สุด เราควรไปสวรรค์ชั้นกามาวจรให้ได้

แล้วท่านก็อธิบายว่า การที่ท่านสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ วัดวาอารามต่างๆ เรียกว่าไม่มีขอบเขต สร้างกันถึง ๔๐ วัด เฉพาะรื้อวัด สร้างวัดของเขาจริงๆ นะ แล้วก็สร้างโบสถ์วิหารการเปรียญ ทำบุญสุนทร์ทานต่างๆ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าท่านห่วงตัวท่าน ท่านห่วงบรรดาประชาชนทั้งหลายว่า ทุกคนจะได้ร่วมกันทำบุญ มากบ้าง น้อยบ้าง ด้วยทรัพย์สินบ้าง ด้วยกำลังกายบ้าง ทุกคนที่ได้ช่วยงานท่านอย่างนี้ อย่างน้อยทุกคนจะต้องไปเกิดบนสวรรค์ ขอให้ทุกคนน่ะ เวลาก่อนจะหลับนึกถึงความดีที่ตนเคยทำไว้ คือว่า นึกถึงทรัพย์สินที่สละออกมาเป็นทานในการก่อสร้างก็ดี เลี้ยงพระก็ดี ส่วนสาธารณประโยชน์ก็ตาม นอกจากนั้นให้นึกถึงศีลที่ตนเคยรักษา นึกถึงเทศน์ที่ตนเคยฟัง แล้วหมั่นภาวนาถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ พระพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นต้น

นี่หลวงพ่อปานท่านมีความประสงค์อย่างนี้ในการก่อสร้างของท่าน ท่านยอมตัวของท่านลำบาก เพราะปรารถนาในการสงเคราะห์พุทธบริษัทของท่าน

ฉันก็เหมือนกันซี ตอนนี้ฉันสร้างเปื่อยไปยังงั้นแหละ เล่นเอาลูกหลานย่ำแย่ไปตามกัน เล่นเอาลูกหลานเหน็ดเหนื่อยไปตามๆ กัน แต่ฉันคิดว่าถ้าลูกหลานของฉันจะเหน็ดเหนื่อยบ้างลำบากบ้างในตอนนี้ คิดว่าตอนสิ้นลมปราณนี่ทุกคนจะเห็นว่าดี แล้วตอนนั้นน่ะแหละ ลูกหลานทุกคนจะรู้ว่าฉันมีความหวังดีกับลูกหลานเพียงใด ที่พูดอย่างนี้น่ะนะไม่ใช่พูดป้อยอหวังจะให้หาเงินทองมาช่วยกันสร้าง มาช่วยกันชำระหนี้ ไม่ใช่ยังงั้น นี่มันเป็นความหวังจริงๆ

ในตอนที่หลวงพ่อปานท่านใกล้จะตาย ท่านเปิดศักราชเป็นการใหญ่ ท่านพูดหมด หมายความว่า ธรรมะส่วนใดที่ท่านได้ กรรมฐานใดที่ท่านได้ ภาวนาสถานใดที่ท่านจะไปอยู่ ท่านพูดหมด ท่านอธิบายถึงสถานที่ท่านจะไปอยู่ว่ามันสวยสดงดงามเพียงใด แล้วคนที่ร่วมบำเพ็ญกุศลกับท่านน่ะเขาจะไปอยู่สถานที่ไหนบ้าง อะไรบ้าง อย่างนี้เป็นต้น ท่านอธิบายให้เขาฟัง ทุกคนบอกว่าชื่นใจเหลือเกิน ได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างนี้

ดีไม่ดีท่านจี้ตัวเอานะ จี้เอาว่าคนนี้วิมานเป็นอย่างนั้น คนนั้นวิมานเป็นอย่างนี้ ท่านกล้าพูดเต็มที่ ท่านบอกว่าท่านจะตายแล้ว ใครจะจับท่านสึกท่านก็ยอม จะสึกยังไงไม่เป็นอันสึก คราวนี้ฉันจะเป็นพระสัก ๓ ปี ท่านว่ายังงั้น ท่านบอกว่าท่านจะเป็นพระสัก ๓ ปี หมายความว่า ท่านจะพูดอย่างพระ ความรู้ของพระมีเท่าไรท่านงัดออกมาพูดกันหมด

ระหว่างที่ท่านจะยังไม่ตายนี่นะ ก่อนหน้าที่ท่านจะตาย ๑ ปี ปรากฏว่าอาจารย์ไสยศาสตร์ของท่านมาหา

อาจารย์แจง อาจารย์ไสยศาสตร์ของท่าน ก่อนหน้าท่านจะตาย ๑ ปี แกก็ลงมาที่วัดมาเยี่ยมหลวงพ่อ คุยกันอย่างดี ท่านก็แนะนำว่าคนนี้นาอาจารย์ไสยศาสตร์ของฉัน ตั้งแต่การสอนวิชา อาจารย์องค์นี้ต้องให้เข้าสมาบัติ ๘ อยู่ตลอดเวลา

ท่านมาอยู่กับหลวงพ่อประมาณ ๑ เดือน ท่านก็เรียกฉันบ้าง ไอ้ลิง ๒ ตัวบ้าง แล้วก็พระที่มีความสนใจในวิชาอาคมบ้าง ก็มาแนะนำถึงว่า วิชาการในตำราของท่านที่ให้หลวงพ่อปานไว้แนะนำพอสมควร

ต่อมาอาจารย์แจงจะกลับบ้านก็ขอยืมตำราเล่มสำคัญไป ตำราเล่มนี้มีธงมหาพิชัยสงคราม เล่มนี้ท่านอาจารย์แจงขอยืมหลวงพ่อไป บอกว่าผมขอยืมไปดูสักปีครับ แล้วผมจะมาคืนให้ ผมลืมอะไรบางอย่างต้องการของในนี้เอาไปทำ หลวงพ่อท่านก็ถอดเขี้ยวถอดเล็บแล้ว ท่านอนุญาต อนุญาตแล้วท่านอาจารย์แจงก็ไป

ต่อมาพอครบปีที่ ๓ เดือน ๘ พอขึ้นเดือน ๘ ปรากฏว่าหลวงพ่อปานไปธุระที่ตลาดบ้านแพน บ้านนายเฉลิม นามสกุลว่ายังไงไม่ทราบ เขาค้าวัตถุก่อสร้าง หลวงพ่อเคยไปสั่งเหล็กสั่งปูนที่นั่นเสมอ ไปถึงก็ขึ้นสะพาน สะพานมันลาดๆ มันลื่นด้วยตะไคร่น้ำ ท่านล้มลงไป วันนั้นฉันได้ไปด้วยนะ อาจารย์เจิมไป ท่านล้มลงไปปรากฏว่าป่วย ป่วยตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ท่านบอกเลยว่าการป่วยคราวนี้ฉันตายแน่ เอาเข้ายังงั้น

พอคณะลูกศิษย์ลูกหาในกรุงเทพฯ เขาทราบข่าวกัน เขาแห่โบสถ์กันมาใหญ่ ฉันจำใครไม่ได้นักหรอก เขาเป็นอะไรต่อเป็นอะไรกันเยอะแยะ จำได้คนที่รู้จักกันชัด คือ นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ พลเรือตรี พระยาศรยุทธเสนี แล้วก็พระยาประเสริฐ หลวงพินิจมาตรา แล้วก็หลวงพินิจโลหะกิจ แล้วใครต่อใครอีกไม่ทราบเยอะแยะเต็มไปหมด ฉันไม่รู้ว่าใครบ้าง ทุกคนเขาบอกว่าหลวงพ่อจะต้องไปรักษาที่กรุงเทพฯ

ท่านก็บอกว่าฉันจะไปรักษาที่กรุงเทพฯ หรือฉันจะรักษาที่บ้านนอกนี่ฉันก็ตาย แต่ว่าทุกคนเขาคิดว่าหลวงพ่อพูดเล่น เขาจะเอาไปให้ได้ ท่านก็ยอมไป บอก เอ้า จะเอาไปก็เอาไป

พอไปแล้วปรากฏว่าอยู่ประมาณสักกี่วันก็ไม่ทราบละ จำไม่ได้ ไปอยู่ที่บ้านหลวงประธานถ่องวิจัยนั่นแหละ ที่ตรงนั้นมันเหมาะ ท่านชอบใจ แล้วไม่ช้าก็กลับมาที่วัด มาถึงวัดก่อนหน้าวันตาย ๓ วัน คือว่าท่านตายวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ ก็ถอยหลังไปซี ๑๔, ๑๓, ๑๒ คงจะมาถึงวันแรม ๑๒ ค่ำ

เวลาท่านป่วย ท่านจะตายนี่ ท่านพูดจ้อ เวลาที่ไปอยู่บ้านหลวงประธานก็เหมือนกัน ตอนนี้ท่านลุกไม่ค่อยไหว ใครจะมาท่านก็คุยจ้อ ใครมาให้ท่านลงยา เอาหม้อยามาให้ ยาใบมะกากับข่า ยาใบมะกากับหญ้าแพรก มาถึงเขาบอก

หลวงพ่อเจ้าคะ ลงหม้อยาอิฉันทีเจ้าค่ะ นี่เป็นผู้หญิง

หลวงพ่อยิ้มบอกว่า อีหนูเอ๊ย หม้อมันเล็กนี่ พ่อจะลงไปยังไง

นี่แสดงว่าท่านป่วยจนลุกไม่ค่อยขึ้นท่านยังพูดตลก พูดสนุก อารมณ์ของท่านไม่ได้เศร้าหมองเลย บรรดาลูกศิษย์นั่นแหละ ลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาสฟังข่าวท่านจะตายทีไร ก็รู้สึกว่าหน้าสลดไปตามๆ กัน แต่ว่าสำหรับฉันไม่มีความรู้สึกอย่างนั้นนะ เพราะอะไร เพราะฉันรู้ว่าหลวงพ่อปานท่านตายจะไปไหน ฉันย่องๆ ไปดูบ้านท่านทุกวัน ไอ้ ๒ ลิงเหมือนกัน แล้วอาจารย์ฉัตรด้วย ท่านเก่ง หลวงพ่อเล็กด้วยอีกองค์ท่านเก่ง

ท่านบอกว่าคราวนี้ท่านใหญ่ตายแน่ แต่ว่าท่านตายแล้ว ท่านสบาย สำคัญพวกเรานี่ซี พวกเราถ้ายังไม่ตายมันหาความสบายไม่ได้ ยังจะแย่กันไปอีกหลายวัน ท่านว่ายังงั้น ถ้าตายเสียได้อย่างท่านก็มีความสุข นี่ พระประเภทนี้เขามีอยู่เหมือนกันนะ

แล้วในขณะที่มาถึงนั่นเอง ท่านมีคำสั่งบอกว่าลิงดำเอ๊ย พ่อมีความผิดอยู่นะ พรุ่งนี้จัดเครื่องบวงสรวงให้พ่อ ชุดใหญ่นะ ลิงดำช่วยจัดด้วยนะ

เมื่อฉันได้รับคำสั่งแล้วก็ไปสั่งเขาซื้อหัวหมูมา ๓ หัว ไก่ ๑ ตัว ต้มเสร็จ จัดเครื่องสังเวยเสร็จ พอวันรุ่งขึ้นประมาณสัก ๓ โมงเศษๆ ๙ นาฬิกาเศษๆ ๓ โมงเช้าท่านบอกให้ตั้งพิธีบวงสรวง พอจัดของครบท่านก็เริ่มพิธีบวงสรวง

ท่านบวงสรวงแล้วท่านบอกว่า เอ้า วันนี้ใครจะคุยอะไรกับฉันก็คุยนะ นับตั้งแต่หลังเที่ยงไปแล้วน่ะ ฉันจะไม่คุย ฉันจะไม่คุยละนะ นับตั้งแต่หลังเที่ยงไปแล้ว

ใครเขาสงสัยอะไรเขาก็มาคุยกับท่าน ท่านก็คุยอย่างคนสบายๆ แต่ว่านอนคุย ไม่ได้ลุกขึ้นมานั่งคุย ลุกไม่ค่อยจะไหว รู้สึกว่าแรงท่านไม่มี ท่านคุยไป พอนาฬิกาตีเที่ยง ท่านมีคำสั่งบอก

ลิงดำเอ๊ย นับตั้งแต่นี้ต่อไปนะ ใครเขามีธุระอะไรละเอ็งจดไว้นะ ใครเขาต้องการอะไรจากพ่อละก็จดไว้ พ่อจะพูดเป็นคราวๆ แต่ว่าอย่าให้ใครเขามากวนใจพ่อนะ วันนี้พ่อยังไม่ตาย พรุ่งนี้พ่อถึงจะตาย วันนี้ยังมีเวลาพูด แต่ว่าปล่อยให้พ่อได้สบายๆ บ้าง

ฉันก็รับคำ พระทุกองค์ พระปีนั้นเอาพรรษากันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ มีพระมาประมาณสัก ๒๐๐ องค์ เขารู้ว่าท่านจะตาย ชาวบ้านน่ะหรือมาเท่าไหร่ ชาวบ้านที่มาน่ะ จะพูดให้ฟัง ฉันตั้งกระทะหุงข้าว ๘ กระทะ สั่งตาเชด กะตาเผือดเป็นพ่อครัวใหญ่ กับผู้ใหญ่ยง บอกให้ดูแลคนไปมาให้ดี ปรากฏว่าข้าว ๘ กระทะนี่ไม่ทันคนกิน ดูเถอะ ไม่ทันคนกินนะ อาหารประจำก็แกงคั่วส้มผักบุ้ง นี่พวกคนตำบลรางจรเข้ขนผักบุ้งเข้ามาเป็นลำๆ สำหรับหัวตาลต้มปลาร้านั่นไม่แน่ มีก็ใช้ไม่มีก็ไม่ใช้ กับแกงจืด ต้มจืดน่ะนะ นี่เป็นอาหารที่ฉันสั่ง มันทำง่าย แล้วก็ผสมกับน้ำปลากินสบายๆ ข้าวปลาอาหารกับข้าวกับปลาบริบูรณ์ ใครไปใครมาก็ขนกันมา คนเต็มวัด คนเต็มวัดจริงๆ นะ ลานวัดนี่เด็กเดินไม่ค่อยได้หรอก คนเต็มจริงๆ เขามาเรือกัน ต้องนอนเรือ เรือจอดเรียงเต็มแม่น้ำเลยเหนือวัดใต้ไปตั้งเยอะ

อวสาน

ต่อมาถึงวันแรม ๑๔ ค่ำ ตอนเช้าท่านพูดว่า นับตั้งแต่เที่ยงวันนี้ไปฉันจะไม่พูดกับใครเลยนะ ใครมีอะไรจะพูดกับฉันเชิญพูดเสียเลย เมื่อไม่มีใครพูดก็เลยถามว่า หลวงพ่อขอรับ หลวงพ่อจะสั่งอะไรศิษย์เป็นครั้งสุดท้ายบ้างขอรับ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของหลวงพ่อแล้ว ถือว่าเป็นปัจฉิมวาจา

ท่านบอกว่า ขอให้สั่งพระกับสั่งชาวบ้านทั้งหมดนะ ขอให้ทุกคนตั้งใจทำความดี คนไหนที่ทำความดีอย่างอื่นมากนักไม่ได้ ก็ให้สร้างความดีทั้งสองอย่างที่ฉันต้องการ ความดีทั้งสองคือ

๑ อย่าดื่มสุราเมรัย และประการที่ ๒ อย่าลักอย่าขโมย อย่าประพฤติตนเป็นโจร นี่เป็นปัจฉิมวาจา

แล้วท่านก็เงียบ ฉันก็ไม่มีเรื่องจะพูด เพราะกลัวจะรบกวนท่าน หลังจากนั้นมา หลังจากเที่ยงไปแล้ว มีฉันคนหนึ่งไอ้ ๒ ลิงนั่นด้วย กับท่านผู้ใหญ่ยง ฉันนั่งอยู่ด้านขวามือของท่าน เอามือจับชีพจรท่านไว้ ผู้ใหญ่ยงนั่งอยู่ทางเท้าข้างขวา เอามือจับชีพจรไว้ ไอ้ลิงเล็ก ไอ้ลิงเล็กนั่งเท้าข้างซ้ายจับชีพจรซ้าย ไอ้ลิงขาวจับมือซ้าย จับชีพจรซ้าย ตรวจดูว่าเมื่อไหร่หลวงพ่อจะตาย

ดูชีพจรของท่านเต้นเป็นปกติ ชีพจรเต้นแบบนั้นมันไม่ใช่อาการของคนตายนี่ แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าชีพจรอ่อนมาก สังเกตดูอาการของหลวงพ่อท่านเข้าฌานอยู่ตลอดเวลา แล้วก็มีพระอีกองค์หนึ่ง พระครูอุดมสมาจารย์ เจ้าอาวาสวัดน้ำเต้า เป็นเจ้าคณะอำเภอบางบาลเป็นลูกศิษย์ องค์นี้เข้าฌานอยู่ปลายเท้า นั่งหลับตาปี๋ บางครั้งก็ปรากฏว่าชีพจรของท่านไม่เต้น ตอนนี้เป็นเข้าสมาธิ ๘ ตอนเข้าสมาธิ ๘ น่ะมีอาการเหมือนคนตาย

ท่านนอนแบบสงบ นิ่งสงัด เวลาจะปรากฏลมหายใจก็ระรวยน้อยๆ แต่บางครั้งดูเหมือนว่าไม่มีลมหายใจ เมื่อนานๆ เข้าฉันสงสัย ฉันนึกว่าหลวงพ่อตายซี ก็หันไปถามพระครูอุดมสมาจารย์ มองดูนาฬิกามันยังไม่ถึง ๖ โมงเย็น ถามว่า หลวงพี่ หลวงพ่อไปไหน

ท่านก็บอกว่าเวลานี้ยังอยู่ในสมาบัติ ๕ เวลานี้ยังอยู่ใน ฌาน ๔ ฌาน ๓ ฌาน ๒ ฌาน ๑ ท่านก็ว่าไปตามลำดับ ทีหลังท่านเห็นฉันสงสัย เวลาหลวงพ่อไปพักอยู่ในฌานไหนละก็ ท่านก็บอกฉัน ท่านลืมตาบอกว่า เอ้อ เวลานี้หลวงพ่อพักอยู่ฌานชั้นโน้นฌานชั้นนี้นะ ในที่สุดบางครั้งท่านก็บอกว่าหลวงพ่อย่องไปดูบ้าน แล้วท่านบอกว่าเวลานี้เทวดากับพรหมมามาก พระมามาก

ฉันเลยสงสัยขึ้นมามั่งซี กับไอ้ลิง ๒ ลิงนะ

พอเวลาใกล้จะ ๖ โมง เหลืออีกประมาณสัก ๕ นาที พระนั่งประชุมกันเต็มวัด ข้างในมีแต่พระ ก็มีผู้ใหญ่อยู่ ๒-๓ คน คือมี พระยาประเสริฐ พระยาศรยุทธเสนี มีนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร หลวงพินิจมาตรา ก็นั่งอยู่ข้างๆ แล้วนอกจากนั้นฆราวาสก็อยู่ข้างนอกกันเต็มอัดหมด คอยฟังเครื่องขยายเสียงว่าพวกเราจะให้สัญญาณอะไรบ้าง เวลาเหลือประมาณสัก ๑๐ นาที ท่านลืมตาขึ้นมา ท่านถามว่า ใคร

ท่านมองหน้าฉันนะ ถามว่าใคร

บอกว่า ผมครับหลวงพ่อ เจ้าลิงดำขอรับ

ลิงดำเรอะ เออ ดีแล้วนะลูกนะ ถ้าพ่อตายละก็ เอ๊งช่วยไปสร้างโบสถ์วัดเสาธง ตำบลสารี อำเภอบางปลาม้า ให้เสร็จด้วยนะ

ก็ตอนนั้นอายุฉันนิดเดียว ฉันก็ตอบว่า ถ้าหากว่าเขามาขอร้องนะขอรับหลวงพ่อ เพราะผมเป็นเด็กอยู่ จะไปรับอาสาเขาทำจะไม่มีใครเขาเชื่อ

ท่านบอกเออ ถูกแล้วๆ ลูก

เลยถามท่านว่า หลวงพ่อขอรับ เวลานี้พระมานั่งกันอยู่เต็มประมาณ ๒๐๐ รูป แล้วหลวงพ่อจะต้องการให้พระสงเคราะห์อะไรบ้างครับ

ท่านเลยบอกว่า ถ้าพระจะสงเคราะห์นะลูกนะ ให้ท่านสวด อิติปิโสนะ แล้วลูกจุดธูปหอมๆ ให้พ่อได้กลิ่นด้วยนะ

ฉันก็ลุกไปจุดธูป ให้สัญญาณพระสวดอิติปิโส

เจ้าลิงขาวลงไปกระซิบที่ข้างหูท่าน บอกว่าหลวงพ่อขอรับ เวลานี้พระสวดอิติปิโสแล้วครับ ท่านทำหัวผงกนิดๆ แสดงความเคารพในพระรัตนตรัย

พอพระสวดไปได้พักหนึ่ง เวลาเหลืออีกนิดจะ ๖ โมง ท่านลืมตาขึ้นมา ท่านบอกว่า

ลิงดำเอ๋ย บอกพระกับพวกชาวบ้านนะ บอกพ่อลานะ แล้วขอให้ทุกคนเขามีความสุขนะ ทุกคนตายแล้วจงไปสวรรค์ จงไปพรหมโลก จงไปนิพพาน

ก็รับคำท่านว่าผมจะบอกให้ ท่านก็หลับตา พอหลับตาอีกทีนาฬิกาตีเป๋งแรก ๖ โมง เอากันเป๋งแรกนะ ท่านลืมตาแล้วก็หลับปั๊บ ปรากฏว่าชีพจรดับพร้อมกัน พระครูอุดมสมาจารย์ที่นั่งหลับตาอยู่ห่างๆ ลืมตาขึ้นมาบอกว่าหลวงพ่อไปแล้ว หลวงพ่อไปแล้วอย่างสบาย ออกไปสวยเหลือเกิน บอกว่ารูปร่างท่านสวยเหลือเกิน ไปชั้นดุสิต ท่านบอกว่าเทวดาพรหมห้อมล้อมไปส่งถึงชั้นดุสิต

ฉันก็ส่งข่าวให้สัญญาณกับพระ พระท่านสวดอยู่ท่านไม่รู้ว่าหลวงพ่อปานไปแล้ว ฉันยกมือขึ้น บอกว่าเวลานี้หลวงพ่อมรณภาพแล้ว

พระหลายองค์แกเลิกสวดอิติปิโส แต่แกสวดใหม่ สวดร้องไห้โฮขึ้นมาเลย พ่อเจ้าประคุณ พระแกนี่สำคัญ มีพระแก่หลายองค์ เลิกสวดอิติปิโสกัน สวดร้องไห้ขึ้นมา เมื่อพระร้องไห้นี่ ชาวบ้านที่อยากจะร้องอยู่ก็เยอะ แล้วเลยช่วยกันเป็นการใหญ่ ล่อกันเสียพัก ฉันกับไอ้ ๒ ลิงนั่งยิ้มๆ ท่านพระครูอุดมสมาจารย์ หลวงพ่อเล็ก อาจารย์ฉัตร พวกนี้กรรมฐานหนักทั้งนั้นนะที่ออกชื่อมา แต่ก็นั่งยิ้มๆ ว่าเจ้าพวกนี้มันโห่อะไรกันนะ

หลวงพ่อเล็กบอก เอ๊ะ นี่เขาโห่แปลกนะ พอท่านใหญ่ไปสวรรค์เขาโห่ส่งท้าย แต่ไอ้โห่แบบนี้ขี้มูกขี้ลายมันโป่งเต็มหน้าไปหมด มันโห่อะไรของมัน

ท่านพูดยิ้มๆ พวกเราไม่ใคร่ตกใจก็เฉยๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าหลวงพ่อไปสบายกว่าเรา

ท่านตายในกุฏิของท่าน คนจะเข้ามาเยี่ยมศพก็แสนจะลำบาก เลยต้องเคลื่อนศพมาไว้ที่ศาลา ทีแรกดำริกันว่าจะใส่หีบศพ จะใส่โลงผีน่ะ เอาว่ากันอย่างนั้นนะ ก็มาปรึกษากันว่าถ้าใส่หีบศพเข้าแล้ว คนเขามาไหว้ก็ลำบาก เพราะลูกศิษย์ลูกหาท่านมาก เอาไว้ข้างนอกสัก ๓ วันเป็นยังไง ก็เลยปรึกษากันว่า ๓ วัน หลวงพ่อคงยังไม่เป็นไร ก็ช่างเถอะ ถ้าเป็น ก็ค่อยเอาใส่หีบศพกัน ก็ทำเตียงเข้าไว้ เอาท่านนอนลงไป คนทุกคนที่มาก็ให้มีโอกาสสรงน้ำ สรงน้ำก็อนุญาตให้รดแต่เพียงแค่เท้า ไม่มีอะไรเป็นเครื่องประทังความเหม็นและความเน่า

ท่านนอนอยู่ ๓ วันบนที่นั้น ก็ปรากฏว่ามีอาการเหมือนคนหลับ กลิ่นสางสักนิดหนึ่งก็ไม่มี เนื้อหนังที่จะผิดปกติอย่างคนตายก็ไม่มี เขาก็เกิดสงสัยว่า คนเราถ้าตายเอาไว้ในที่แจ้งๆ นี่มันไม่ค่อยเน่า เขาก็ว่ายังงั้นนะ เขาไม่ว่าเป็นเหตุอัศจรรย์หรอก เขาลือกันว่ายังงั้น วันนั้นเป็นวันที่ ๓

หลังจากวันที่ ๓ ไปแล้วเป็นวันที่ ๔ ตาเก๊าที่ตลาดบ้านแพนตาย เขาเห็นหลวงพ่อปานเอาไว้ยังงั้นไม่เน่า พวกลูกหลานเขาก็ดีใจ ว่ายังงั้นเราก็เอาไว้อย่างหลวงพ่อปานบ้าง พวกนี้พยายามขี้ตามช้างเขาเอาไว้บ้าง พอวันที่ ๓ นะลูกหลานที่รัก พระไปฉันไม่ได้ สวดก็ไม่ได้ พระบอกว่าอ้าปากไม่ขึ้น ถามว่าทำไม บอกว่าหูตามันปลิ้นไปหมด ลิ้นจุกมือกางแขนขากางไปเต็มที่เน่าเฟะ

แล้วทีนี้มาดูหลวงพ่อปาน ครบวันที่ ๖ แล้วยังไม่เป็นไร เป็นปกติ ร่างกายของท่านน่ะเป็นปกติ เอาไว้กันอย่างนี้ตั้งแต่วันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ จนกระทั่งถึงวันขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๙ กี่วันนับไปก็แล้วกัน ร่างกายของท่านไม่ผิดปกติเลย เมื่อถึงเวลาก็เก็บศพ

มันมีอยู่คราวหนึ่งที่ท่านเจ้าคุณพิมลธรรมวัดมหาธาตุ สมัยนั้นยังดำรงตำแหน่งพระศรีสุธรรมมุนี เป็นเจ้าคณะจังหวัดอยุธยากำลังเทศน์ กลางวันนะ ก็มีแสงขึ้นไปจับอยู่ที่เพดานตรงกับหลวงพ่อปาน แล้ววนไปวนมาตลอดเวลาเทศน์ แสงสว่างมากเป็นจุดคล้ายๆ กับแสงไฟฉายขนาดใหญ่ กลางวันนี่ ใครจะฉายไฟขึ้นไป เราก็เห็น แต่ว่าเขาไม่ได้ฉายกันเราก็เลยไม่เห็นคนฉาย อันนี้อย่างหนึ่ง

แล้วมีนกกลุ่มหนึ่งมาจับ เข้ามาหาท่านอยู่เสมอ อันนี้ก็ไม่แปลก

อีกอย่างหนึ่งคือเต่า เต่าตัวนี้หลวงพ่อท่านปล่อยที่จังหวัดสิงห์บุรี ท่านเขียนชื่อท่านไว้ แม่สุ่นแล้วก็ตาเซ่งหลีหรือไงก็ไม่ทราบที่ตลาดบ้านแพนเขาไปซื้อมาจากคนเมามันจะแกง แล้วเขาก็มาถวายท่าน ท่านเขียนไว้ที่อกว่า พระปานปล่อยที่จังหวัดสิงห์บุรี แม่สุ่นแล้วก็พ่ออะไร ซุ่นหลีอะไรก็ไม่ทราบ ท่านเขียนไว้ที่หน้าอกด้วยตะปู รอยยังอยู่ แต่ว่าปล่อยหลายปีมาแล้วประมาณว่าสัก ๑๐ ปี

เจ้าเต่าตัวนี้มันโตมาก ขนาดเด็กขี่ได้ ไปกับผักชวา พอไปถึงหน้าวัดก็ไต่ขึ้นมาบนเขื่อน คนเดินดูกัน ก็ไต่ไปตามถนนของเขื่อน พอถึงถนนหน้าศาลาแล้วมันก็เลี้ยว เลี้ยวขึ้นไปจะขึ้นบันไดศาลา คนก็เลยจับขึ้นบันได แล้วไปไหน ก็ปรากฏว่าไปนอนอยู่ใต้ศพหลวงพ่อปาน ต่อมาเจ้าของชื่อที่เขาเอามาถวายท่านปล่อย เมื่อเขานำศพไปเก็บแล้วก็เอาไปเลี้ยงไว้จนกระทั่งเต่าตัวนั้นตาย สงเคราะห์ตลอดไป

นี่เรื่องก็มีเท่านี้นะ เรื่องอัศจรรย์ก็ไม่มีมาก

เรื่องเผานี่เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนกัน เวลาหลวงพ่อปานตายปรากฏว่ามีเงินอยู่ในกระเป๋า ในย่ามของท่าน ๒๐ บาท แล้วก็ค้นไปค้นมาพบอีก ๖๐ บาท รวมเป็นเงิน ๘๐ บาทด้วยกัน นี่เงินสดนะรวยมาก หลวงพ่อมีเงินตั้งชั่ง แต่ปรากฏว่าค้นไปค้นมาไปพบหนี้เข้าอีก ๔,๐๐๐ บาท พวกเราทำยังไงเล่า ไม่ได้ เรื่องหนี้ของหลวงพ่อนี่มันต้องว่ากันละ ต้องชำระกัน

ก็เชิญเจ้าหนี้เขามา บอกให้เผาเสร็จเรียบร้อยเถอะจะใช้หนี้ ไม่เป็นไร ใครเขาไม่รับฉันรับคนเดียว ฉันรับจะเทศน์ชำระหนี้หลวงพ่อจนกว่าจะครบ ทุกคนเขาโมทนา เขาไม่บอกว่ายังไง เขาก็ดีใจว่าฉันรับหนี้ พระองค์อื่นเขานั่งทำตาปริบๆกันเงียบ พูดถึงเรื่องหนี้หลวงพ่อละก็ เขานั่งทำตาปริบๆ เขาไม่พูด ไม่มีใครรับชำระ ฉันก็นึกว่า เอ ท่านเป็นพ่อฉันนี่ ฉันก็รับชำระน่ะซี หันมาปรึกษาไอ้ลิง ๒ ตัว บอกเฮ้ย ถ้าเผาหลวงพ่อแล้วเงินไม่พอทำไงเว้ย ไอ้เจ้านั่นเขาบอกว่า เอ็งรับชำระก็เทศน์ใช้หนี้เขาไปซิหว่า เลยถามว่าเอ็ง ๒ ตัวล่ะ บอกข้าไม่ได้รับปากเขานี่ แต่ว่าข้าจะช่วย เท่าไรเท่ากันซีวะ มันว่ายังงั้น หลวงพ่อให้ของเราได้ดีกว่าเงินเสียอีก เรื่องเงิน ๔ พันบาทเป็นเรื่องเล็ก เจ้า ๒ ตัวเขาว่ายังงั้น พอเจ้า ๒ คนว่ายังงั้นฉันก็ดีใจเพราะมันเก่ง ไอ้เจ้านี่มันหาได้แน่ ยังไงๆมันก็หาได้แน่ มันเป็นพระอภิญญานี่ ไอ้ฉันน่ะไม่ไหวแล้ว นอกจากจะเทศน์เอาลมไปขายแล้วไม่มีอย่างอื่น เป็นอันว่าเลิกกันไป

ก็ทำบุญกัน ๗ วัน หรือ ๘-๙ วันนั่นแหละ แล้วมาทำบุญ ๕๐ วัน ทำบุญ ๑๐๐ วัน นี่ไม่ต้องว่ากัน เงินของท่านเวลาใช้จริง เมื่อตายแล้วเงินมันหลั่งไหลมาบอกไม่ถูก โอ๊ย บอกไม่ถูกเลย เงินเต็มหีบเรื่อย ทำบุญ ๕๐ วันก็เยอะ ทำบุญ ๑๐๐ วันก็เยอะ มาพอถึงเวลาจะเผา ได้เยอะตอนนั้น ฉันและบรรดาคณะกรรมการทั้งหมดก็ถวายพระกันหมด ไม่มีใครเขาเก็บ ถึงเวลาเผาเข้าจริงๆ ก็สั่งบรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลาย บอกว่าขอให้มารับหนี้พร้อมๆ กันนะในวันเผา แต่ทว่าทุกคนก็ขอให้เตรียมสตางค์ใส่กระเป๋ากันมาอีกคนละพันบาทด้วย หากว่าในงานของหลวงพ่อเกิดเงินไม่พอจะได้เป็นหนี้ต่อน่ะซี ไม่ชำระ ให้เขาเอามาอีกคนละพันบาท จะได้ขอยืมต่อเอาเป็นทุน

เห็นไหมล่ะคนชั้นดี นี่อาจารย์เจิมท่านก็มีคนรู้จักมาก เพราะติดตามหลวงพ่อปานนานก็สั่งไว้เหมือนกัน สั่งคนไว้หลายคน แต่รายที่ถูกสั่งเขาเตรียมกันมาคนละพันบาท รวมเงินแล้วประมาณสัก ๒ หมื่นได้มั้ง แล้วทุกคนเขามาบอกว่า เงินเอามาแล้วนะขอรับ เอาหรือยัง พวกเราบอกว่าถ้าหากยังไม่ขาดยังไม่เรียก ถ้าขาดเท่าไรจะขอเท่านั้น เขาก็เตรียมเอาไว้ ในที่สุดงานหลวงพ่อปานเผาเสร็จไปแล้ว เจ้าหนี้ทั้งหมดในวันจะเผา เวลาเทศน์จบลุกขึ้นประกาศถวายหนี้ เอาเข้านั่นไหมล่ะ ถวายว่าหนี้ทั้งหมดที่เป็นอยู่กับเขานั้นเขาไม่รับ เขาขอถวายหลวงพ่อปานหมด สบายไป ๔ พัน แล้วนอกจากนั้นสตางค์ในกระเป๋า คนละพันๆ ก็งัดเอาออกมาอีก อันนี้ขอช่วยถวายในงานศพ จะใช้อะไรก็ตาม เอาเสียอีก ๒ หมื่นกว่า นี่เจ้าหนี้น่ะคนละพัน เข้าไป ๔ พันนะไม่ได้ ๔ พันก็ควักมาคนละพัน แล้วคนอื่นอีกคนละพันๆๆ รวมแล้ว ๒ หมื่นกว่าๆ นั่นเงินพิเศษ แต่ว่าเงินจำนวนนี้ไม่ได้ใช้งานเลย งานของท่านเลี้ยงตัวได้ดีที่สุด เลยดี ตั้งโรงครัวกันขนาดหนัก เลี้ยงกันขนาดหนัก คนมากที่สุด ไม่เคยมีงานครั้งใดคนมากเท่านั้นเลย

สำหรับเวลายกศพลงจากศาลาเอาไปลานวัด เจ้าพระคุณพระมหาโพธิวงศาจารย์ วัดอนงคาราม สมัยนั้นเป็นพระมงคลเทพมุนี ท่านมีจริยาอ่อนช้อยเหลือเกิน ท่านอาราธนา ยืนพนมมือตลอดเวลา เวลาจะบอกพระท่านพนมมือ เดินพนมมือแต้บอก ขอรับขอนิมนต์ พระทุกองค์ยืน ๒ แถวจากบนศาลาลงไปแล้วก็ยืนล้อมเมรุไว้ ฆราวาสให้อยู่ข้างนอก เขาแห่ศพก็นำศพไม่กี่คน นำไปในระหว่างภายในแถวของพระ พระยืนกั้นเป็นรั้ว ๒ แถวติดๆกันแล้วเข้าไปถึงเมรุ แล้วพระที่เหลือจากนั้นก็ยืนล้อมเมรุไว้เป็นวงกลม นี่เขากลัวแย่งศพเหมือนกัน แล้วปรากฏว่าพระเหลือแหล่เลยเป็นรั้วกั้นเมรุ พระเป็นรั้ว ๒ แถว เหลือแหล่จากศาลาลงไปหาลานวัด พระมากเหลือเกิน บรรดาประชาชนก็ขนาดเดินชนกัน

ปี่พาทย์ ไม่ได้หามานะ มากัน ๘ วง พ่อประชันกันขนาดหนัก ล่อกันเต็มที่ ปี่พาทย์ไม่ได้หาเลย ลิเก ละครไม่ได้หากัน มากันจนกระทั่งไม่มีที่ตั้ง ปี่พาทย์ลาดตะโพนตั้งกันที่ศาลาน้ำบ้าง ที่หอฉันบ้าง ที่ไหนต่อไปไหนบ้าง บนศาลาไม่มีที่ตั้ง ลิเกละครมากันจนถึงต้องรวมวงกันเล่น ไป เล่นกันคนละวงไม่ได้ นี้เป็นยังงั้น

นี่เป็นบารมีของท่าน เมื่อท่านตายแล้วก็ได้เอาเงินที่เหลือจากนั้นสร้างมณฑปของท่าน แล้วก็สร้างโรงเรียนประชาบาลให้ท่าน เงินก็ยังเหลืออยู่บ้าง ปรากฏว่าท่านอาจารย์เจิมฝากใครไว้ที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ทราบ แล้วต่อจากนั้นไปเงินจำนวนนั้นไปไหนก็ไม่รู้เหมือนกันไม่ได้ติดตาม เรื่องเงินส่วนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องก็ปล่อยไป เรื่องของใครก็เรื่องของใคร

ตานี้มาว่ากันตอนหลัง เมื่อหลวงพ่อปานตายแล้วพวกฉันก็แตกกระสานซ่านกระเซ็นกันไป ฉันก็เข้ากรุงเทพฯ ไอ้ที่เข้ากรุงเทพฯ ไม่ได้ไปไหนหรอก นึกว่าจะไปดูพระในกรุงเทพฯ เขาเป็นเจ้าคุณ เขาเป็นสมเด็จ เขาเป็นอะไรต่ออะไรกันนี่ ว่าจะมีจริยาเหมือนหลวงพ่อฉันไหม หลวงพ่อปานท่านเป็นพระบ้านนอก แล้วก็คนอื่นน่ะ ที่เป็นอะไรต่ออะไรน่ะ จะเป็นนักเสียสละมีจริยาเหมือนกันไหม ก็มีโอกาสย่อง ๆ ๆ ไปดูมาตั้งเยอะ ท่านจะเป็นยังไงบ้างไม่มาเล่าให้ฟังละ ไม่ขอเล่าให้ฟังมันเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน แต่พอครบ ๑๐ พรรษา เจ้า ๒ ลิงก็เข้าป่าไป