บุญกรรมของพระเจ้าจัณฑปัชโชต ผลบุญที่พระราชาได้ทำ

ผลบุญที่ได้กระทำแล้วไม่หายไปไหน เคยติดตามและส่งผลข้ามภพข้ามชาติ ดังเรื่องที่จะนำมาเล่าให้ฟังตามสำนวนแปลมาจากภาษาบาลีดังนี้

พาหนะ ๕ ของพระเจ้าจัณฑปัชโชต
ก็พระราชามีพาหนะทั้ง ๕ คือ

  • นางช้างตัว ๑ ชื่อ ภัททวดี ไปได้วันละ ๕๐ โยชน์.
  • ทาสชื่อว่า กากะ ไปได้ ๖๐ โยชน์.
  • ม้า ๒ ตัว คือ ม้าเวลกังสิ และม้ามุญชเกสิไปได้ ๑๐๐ โยชน์
  • ช้างนาฬาคิรีไปได้ ๑๒๐ โยชน์.

ประวัติที่จะได้พาหนะเหล่านั้น

ดังได้ยินมา พระราชาพระองค์นั้น ในเมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้ทรงอุบัติขึ้น ได้เป็นคนรับใช้ของอิสรชนผู้หนึ่ง. ต่อมาวันหนึ่ง เมื่ออิสรชนผู้นั้นไปนอกพระนคร อาบน้ำแล้วมาอยู่, พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเข้าไปสู่พระนครเพื่อบิณฑบาต ไม่ได้ภิกษาเลยสักอย่างหนึ่ง เพราะชาวเมืองทั้งสิ้นถูกมารดลใจ มีบาตรตามที่ล้างไว้แล้ว (เปล่า) ออกไป.

ลำดับนั้น มารเข้าไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ด้วยเพศที่ไม่มีใครรู้จัก แล้วถามท่านในขณะที่ท่านถึงประตูพระนครว่า “ท่านเจ้าข้า ท่านได้อะไรๆ บ้างไหม?”

พระปัจเจกพุทธเจ้าตอบว่า “ก็เจ้าทำอาการคืออันไม่ได้แก่เราแล้ว มิใช่หรือ?”

ม. ถ้ากระนั้น ขอท่านจงกลับเข้าไปอีก, คราวนี้ ข้าพเจ้าจักไม่ทำ.

ป. เราจักไม่กลับอีก.

ก็ถ้าพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นพึงกลับไปไซร้ มารนั้นจะพึงสิงร่างของชาวเมืองทั้งสิ้น แล้วปรบมือทำการหัวเราะเย้ยอีก, เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่กลับ มารก็หายไปในที่นั้นเอง. ขณะนั้น อิสรชนผู้นั้น พอเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มาอยู่ด้วยทั้งบาตรตามที่ล้างไว้แล้ว (เปล่า) จึงไหว้ แล้วถามว่า “ท่านเจ้าข้า ท่านได้อะไรๆ บ้างไหม?”
ท่านตอบว่า “ผู้มีอายุ ฉันเที่ยวไปแล้ว ออกมาแล้ว.”

เขาคิดว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่ตอบคำที่เราถาม กลับกล่าวคำอื่นเสีย, ท่านคงจักยังไม่ได้อะไรๆ.” ในทันใดนั้น เขาแลดูบาตรของท่าน เห็นบาตรเปล่า ก็เป็นผู้แกล้วกล้า แต่ไม่อาจรับบาตร เพราะยังไม่รู้ว่า ภัตในเรือนของตนเสร็จแล้วหรือยังไม่เสร็จ จึงกล่าวว่า “ท่านเจ้าข้า ขอท่านจงรอหน่อย” ดังนี้แล้ว ก็ไปสู่เรือนโดยเร็ว ถามว่า “ภัตสำหรับเราเสร็จแล้วหรือ?” เมื่อคนรับใช้ตอบว่า “เสร็จแล้ว” จึงกล่าวกะคนรับใช้นั้นว่า “พ่อ คนอื่นที่มีความเร็วอันสมบูรณ์กว่าเจ้าไม่มี, ด้วยฝีเท้าอันเร็ว เจ้าจงไปถึงพระผู้เป็นเจ้านั้น กล่าวว่า ‘ท่านเจ้าข้า ขอท่านจงให้บาตร’, แล้วรับบาตรมาโดยเร็ว.”
เขาวิ่งไปด้วยคำสั่งคำเดียวเท่านั้น รับบาตรนำมาแล้ว.
แม้อิสรชนทำบาตรให้เต็มด้วยโภชนะของตน แล้วกล่าวว่า “เจ้าจงรีบไป ถวายบาตรนี้แก่พระผู้เป็นเจ้า เราจะให้ส่วนบุญ แต่ทานนี้แก่เจ้า.”

เขารับบาตรนั้นแล้วไปด้วยฝีเท้า (เร็ว) ถวายบาตรแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วกล่าวว่า “ท่านเจ้าข้า เวลาจวนแจแล้ว, ข้าพเจ้าไปและมาด้วยฝีเท้าอันเร็วยิ่ง, ด้วยผลแห่งฝีเท้าของข้าพเจ้านี้ ขอพาหนะทั้งหลาย ๕ ซึ่งสามารถจะไปได้ ๕๐ โยชน์ ๖๐ โยชน์ ๑๐๐ โยชน์ ๑๒๐ โยชน์ จงเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า,
อนึ่ง ร่างกายของข้าพเจ้าผู้มาอยู่และไปอยู่ ถูกแสงแห่งดวงอาทิตย์แผดเผาแล้ว, ด้วยผลแห่งความที่ร่างกายถูกแสงแห่งดวงอาทิตย์แผดเผานั้นของข้าพเจ้า ขออาชญาของข้าพเจ้า จงแผ่ไปเช่นกับแสงแห่งดวงอาทิตย์ ในที่ๆ เกิดแล้วและเกิดแล้ว, ส่วนบุญในเพราะบิณฑบาตนี้ อันนายให้แล้วแก่ข้าพเจ้า, ด้วยผลอันไหลออกแห่งส่วนบุญนั้น ขอข้าพเจ้าจงเป็นผู้มีส่วนแห่งธรรมอันท่านเห็นแล้ว.”

พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า “ขอความปรารถนาที่ท่านตั้งไว้นี้ จงสำเร็จ” แล้วได้กระทำอนุโมทนาว่า :-
“สิ่งที่ต้องการแล้ว ปรารถนาแล้ว จงพลันสำเร็จแก่ท่าน,
ขอความดำริทั้งปวง จงเต็ม ดังพระจันทร์ ซึ่งมีในดีถีที่ ๑๕.
สิ่งที่ต้องการแล้ว ปรารถนาแล้ว จงพลันสำเร็จแก่ท่าน,
ขอความดำริทั้งปวง จงเต็ม ดังแก้วมณี ชื่อว่าโชติรส.”

ได้ทราบว่า คาถา ๒ คาถานี้แล ชื่อว่า คาถาอนุโมทนาของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย. รัตนะคือแก้วมณี อันให้สิ่งที่มุ่งหมายทั้งปวง [แก้วสารพัดนึก] เรียกว่า “แก้วมณีโชติรส” ในคาถานั้น.

นี้เป็นบุรพจริตแห่งบุรุษรับใช้นั้น. เขาได้เป็นพระเจ้าจัณฑปัชโชต ในบัดนี้. และด้วยผลอันไหลออกแห่งกรรมนั้น พาหนะ ๕ เหล่านี้จึงเกิดขึ้น.