ตำนาน “หลวงปู่แหวน สุจิณโณ” เหาะได้

ตำนาน “หลวงปู่แหวน สุจิณโณ” เหาะได้


” หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เล่าว่า มีทหารอากาศ ขับเครื่องบินเหาะข้ามวัดดอยแม่ปั๋งไป นักบิน คนนั้นตกใจจนหูตาเหลือก เพราะพบหลวงปู่ผู้เฒ่านั่งอยู่บนก้อนเมฆขวางทางบินอยู่ ต้องรีบบังคับเครื่องหลบ ตาลีตาเหลือก ขาบินกลับก็พบหลวงปู่องค์เดิมอยู่บนก้อนเมฆอีก เมื่อนำเครื่องบินร่อนลงสนามแล้ว นักบินนายนั้นได้ไปกราบนมัสการ เจ้าคณะเชียงใหม่ เรียนถามว่า ที่เชียงใหม่มีพระ องค์ไหนดีบ้าง ที่มีปาฎิหาริย์พิเศษ


เจ้าคณะจังหวัดบอกว่า เห็นมีอยู่องค์หนึ่ง คือหลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง หรือดอยสีม่วง (ปั๋ง ภาษาเหนือแปลว่า สีม่วง) แม่ปั๋ง เพื่อที่จะพิสูจน์ดูให้เห็นกับตา เมื่อไปถึงวัดก็พบว่า มีผู้คนมากมาย จากสารทิศต่างๆ มารอพบหลวงปู่แหวน เต็มวัดไปหมดปกติหลวงปู่แหวน ไม่ยอมออกมาพบปะผู้ใดง่ายๆ

แม้แต่งานฉลองอายุครบรอบของท่าน ที่คณะศิษย์ยานุศิษย์ตลอดจนผู้ที่เคารพเลื่อมใส จากทั่วทุกสารทิศ หลั่งไหลไปจัดงานขึ้น ผู้คนแน่นวัด มืดฟ้ามัวดิน รถราจอดเต็มดอยไปหมด หลวงปู่แหวนก็ไม่ยอมออกมาจากห้องให้สรงน้ำ หรือให้กราบสักการะ แจกของชำร่วย อย่างงานวันเกิดของพระเถระอื่นๆ

หลวงปู่แหวนยังคงเก็บตัวอยู่แต่ในห้องและหนีคนอย่างอุปนิสัยแต่เดิมของท่าน ท่านจะออกมาจากห้องเป็นปกติ ก็เฉพาะเวลาฉันจังหันเช้า และเจริญพระพุทธมนต์ค่ำเท่านั้น


ทหารอากาศนายคนนี้ไปตอนเช้า พอได้เวลาหลวงปู่แหวน อออกจากห้องมาฉันอาหารเช้า ก็จ้องมองด้วยความตะลึง จำได้ทันทีว่า พระผู้เฒ่าองค์นี้จริงๆ ที่เขาพบบนก้อนเมฆขณะขับ เครื่องบินผ่านดอยแม่ปั๋งไป เขาจึงแหวกผู้คนเช้าไปกราบนมัสการแทบเท้าหลวงปู่แหวน ด้วยความเคารพเลื่อมใส อย่างสูงสุด น้ำตาไหล ปลาบปลื้มใจ ตื้นตันใจ ที่ตนได้มีบุญได้พบเห็นตัวจริงของหลวงปู่แหวน “นี่แหละครับ เป็นเหตุการณ์หนึ่ง ที่ทำให้ผู้คนทั่วทุกสารทิศ หลั่งไหลมากราบหลวงปู่แหวน แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง ทำให้ท่านเป็นพระดังแห่งยุค..หลวงปู่แหวนผจญผีกองกอย ชาวป่าข่าระแด


มีเหตุการณ์สะเทือนขวัญอีกครั้งหนึ่ง ได้เขียนไว้ในหนังสือ พระธาตุปาฏิหาริย์ ของนิตยสารโลกทิพย์ ซึ่งขอนำมากล่าวโดยสรุปดังนี้ : – เมื่อหลวงปู่แหวน กับ หลวงปู่ตื้อ จาริกมาถึงเทือกเขาใหญ่ทิศใต้ แขวงเมืองคำม่วน เป็นป่าดงเย็นอืมครึม เชื่อมโยงลงไปถึงสุวรรณเขตในตอนเย็น พบสถานที่เหมาะจึงปักกลดพักภาวนาที่หุบเขาใต้เงื้อมผาแห่งหนึ่ง ทั้งสององค์ปักกลดห่างกันพอสมควร

คืนนั้นต่างองค์ต่างบำเพ็ญเพียรอยู่ในกลดเป็นปกติ ประมาณ 3 ทุ่ม ในป่าดงเช่นนั้นดูเงียบสงัดวังเวง ก็ได้ยินเสียงประหลาดคล้ายเสียงนกกลางคืนร้อง “ก๋อย ก๋อย ก๋อย” เสียงนั้นดังใกล้เข้ามา แล้วดังรับกันล้อมรอบไปทั่วทิศ เสียงบีบเข้ามา “ก๋อย ก๋อย ก๋อย” และมีแสงคบไฟนับสิบๆ ดวงมาจากเสียงนั้น ทำให้มองเห็นตัวผู้ถือได้ถนัด


ร่างนั้นเป็นมนุษย์ร่างประหลาด ขนาดเด็กอายุ 13-14 ปี ผอม พุงโร ผิวคล้ำ ผมเผ้ารุงรัง จมูกแบน บ่งบอกว่าเป็นคนป่า ทุคนมีอาวุธประจำตัวคือ “หน้าทึ่น” คล้ายธนูแต่เล็กกว่า ใช้คล่องตัวในป่า พวกเขาสะพายกระบอกไม้ไผ่ใส่ลูกดอกอาบยาพิษคนป่าร่างเล็กนั้นส่งเสียงรับกันเป็นทอดๆ โอบล้มกลดธุดงค์เข้ามา

พอได้ระยะก็พากันยกหน้าทึ่นเล็งเข้ามายังกลดทั้งสอง หลวงปู่ตื้อร้องบอกพอได้ยินว่า “ท่านแหวนระวัง” แล้วทั้งสององค์ก็กำหนดจิตหลับตาเข้าฌานทันที เป็นไปโดยอัตโนมัติ ปรากฏว่าลูกดอกอาบยาพิษที่ระดมยิงมานั้นตกร่วงพรูห่างจากกลดทั้งสองเป็นวา เป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง


พวกชาวป่าต่างแปลกใจ ร้อง “ก๋อย ก๋อย ก๋อย” ดังกระหึ่ม แล้วระดมยิงลูกดอกอีก 2-3 รอบ ก็ปรากฏผลเช่นเดิม คือลูกดอกตกลงดินก่อนจะไปถึงกลด ทำเอาพวกเขาตกใจกลัว ร้อง “ก๋อย กุ๋ย ก๋ย” แล้วต่างก็วิ่งหนีหายไป ในความมืด
เมื่อคนป่าหนีกลับไปหมดแล้ว หลวงปู่ทั้งสอง จึงได้ออกมานอกกลด หลวงปู่ตื้อ ถามว่า “เป็นไงท่านแหวน ตับไตไส้พุงของท่านยังดีอยู่หรือ?”


หลวงปู่แหวน ตอบไปว่า “ผมนั่งรออยู่ในกลด ให้พวกเขาเอาตับไตไส้พุงผมไปกิน ทำไมมันไม่เอาก็ไม่รู้” ทั้งสององค์ได้เดินจงกรมไปจนดึก แล้วเข้าสมาธิต่อภายในกลดไปจนสว่าง

ตอนเช้าพวกคนป่ากลุ่มนั้นเข้ามาด้อมๆ มองๆ ด้วยความเกรงกลัว หลวงปู่ แสดงท่าให้พวกเขาเข้ามา ต่างค่อยๆ เข้ามาด้วยเนื้อตัวสั่นเทา มาหมอบนิ่งเอาหัวซุกดินคล้ายสำนึกผิด และขอขมาพวกเขาเป็นพวก ข่าระแด เป็นคนป่ากลุ่มหนึ่ง ชอบล่ามนุษย์เผ่าอื่นที่ล่วงล้ำเข้ามา แล้วเอาเนื้อแบ่งกันกินพวกข่าระแด

ได้นิมนต์หลวงปู่ทั้งสองไปยังที่พักของพวกเขา จัดอาหารป่ามาถวาย ก็มีเนื้อย่าง 2 ก้อน ได้ความว่าเป็นเนื้อของคนแก่ซึ่งยอมสละชีวิตของตนเองให้เป็นอาหารของลูกหลานหลวงปู่ อยู่โปรดพวกชาวป่าหลายวัน ทรมานและสอนพวกเขาให้เลิกการฆ่ามนุษย์ด้วยกัน เมื่อเห็นว่าพวกเขาเชื่ออย่างจริงใจแล้ว ท่านทั้งสองก็ออกเดินทางต่อไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ของพวกเขายิ่งนัก


(อ่านเรื่องโดยละเอียดใน พระธาตุปาฏิหาริย์ ของนิตยสารโลกทิพย์)